บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่ 3
วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2560
เวลา 08.30 - 12.30 น.
____________________
____________________
ความรู้ที่ได้รับ
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
-1.กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง มีความเป็นเลิศทางสติปัญญาเรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า
“เด็กปัญญาเลิศ”
เด็กปัญญาเลิศ (Gifted Child) เด็กที่มีความสามารถทางสติปัญญา มีความถนัดเฉพาะทางสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
- ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ
เด็กฉลาด ตอบคำถาม สนใจเรื่องที่ครูสอน ชอบอยู่กับเด็กอายุเท่ากัน ความจำดี เรียนรู้ง่ายและเร็ว เป็นผู้ฟังที่ดี พอใจในผลงานของตน
Gifted ตั้งคำถาม เรียนรู้สิ่งที่สนใจ ชอบอยู่กับผู้ใหญ่ อยากรู้อยากเห็น
ชอบคาดคะเน เบื่อง่าย ชอบเล่าติเตียนผลงานของตน
- 2.กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
1.เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
2.เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
3.เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
4.เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
5.เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
6.เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
7.เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้
8.เด็กออทิสติก
9.เด็กพิการซ้อน
1.เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย เมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า
และเด็กปัญญาอ่อน
เด็กเรียนช้า
- สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
- เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
- ขาดทักษะในการเรียนรู้
- มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
- มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90
- สาเหตุของการเรียนช้า
1.ภายนอก เศรษฐกิจของครอบครัว การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
2.ภายใน พัฒนาการช้า การเจ็บป่วย
เด็กปัญญาอ่อน
- ระดับสติปัญญาต่ำ
- พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
- มีพฤติกรรมการปรับตนบกพร่อง
- อาการแสดงก่อนอายุ 18
- เด็กปัญญาอ่อนแบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม
1.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
2.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34
3.เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49
4.เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70
- ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
- ไม่พูด
หรือพูดได้ไม่สมวัย
- ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
- ความคิด และอารมณ์
เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
- ทำงานช้า ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
- รุนแรง ไม่มีเหตุผล
- อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ
กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome
- สาเหตุ ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่
21ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่
21 เกินมา 1 แท่ง (Trisomy 21)
- อาการ
- ศีรษะเล็กและแบน คอสั้น ดั้งจมูกแบน
- ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก
- ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ เพดานปากโค้งนูน
- ช่องปากแคบ ลิ้นยื่น
ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ
- มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น เส้นลายมือตัดขวาง
2.เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องหรือสูญเสียการได้ยิน เป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ
ได้ไม่ชัดเจน
มี 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก
เด็กหูตึง
หมายถึง
เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง
- เด็กหูตึงจำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
1.เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่
26-40 dB
2.เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่
41-55 dB
3.เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่
56-70 dB
4.เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB
เด็กหูหนวก
- เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
- เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
- ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
- ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป
ระดับทางการได้ยิน
- ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
- ไม่ตอบสนองเสียงพูด
เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
- ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
- พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
- พูดด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
- มักทำหน้าที่เด๋อเมื่อมีการพูดด้วย
3.เด็กที่บกพร่องทางการเห็น เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสงเลือนราง มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10
ของคนสายตาปกติ มีลานสายตากว้างไม่เกิน
30 องศาจำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท
เด็กตาบอด
- เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง
- ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
- มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60,20/200
ลงมาจนถึงบอดสนิท
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5
องศา
เด็กตาบอดไม่สนิท
- เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
- สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
- เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ
6/18, 20/60, 6/60, 20/200 หรือน้อยกว่านั้น
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน
30 องศา
- ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น
- เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
- มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
- ก้มศีรษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
- เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา
- ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต
การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
- สามารถนำความรู้ที่จากการเรียนเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่องในแต่ละด้านไปช่วยเหลือเด็กได้อย่างถูกต้อง และมีความรู้ความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
การประเมินผล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น